ถูกฟ้องคดีเช่าซื้อรถจักรยานยนต์
การเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และเอาไปขายต่อ หรือเอาไปให้คนอื่นใช้งาน หากไม่ส่งค่างวด ผู้ให้เช่าซื้อก็จะตามมาทวงค่างวดรถยังภูมิลำเนาของผู้เช่าซื้อเพื่อดูว่ารถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อมายังอยู่หรือไม่ หากหารถไม่เจอและผู้เช่าซื้อไม่ยอมชำระค่างวดรถที่ค้างชำระ ผู้ให้เช่าซื้อก็จะฟ้องเป็นคดีอาญาในฐานความผิด ยักยอกรถจักรยานยนต์ หรือฉ้อโกง มีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้เช่าซื้อรถก็จะตกเป็นจำเลยคดีอาญา จะอยู่เฉยทำตัวไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนคดีแพ่งไม่ได้ ดังนี้แล้วผู้เช่าซื้อรถเพื่อไปขายต่อพึงระวังไว้
แต่ก็มีทางออกที่ผู้เช่าซื้อรถไม่ต้องติดคุก เพราะคดีอาญาฐานความผิด ยักยอก หรือฉ้อโกง เป็นความผิดที่ยอมความกันได้ เมื่อถูกผู้ให้เข่าซื้อเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ผู้เช่าซื้อจะตกเป็นจำเลยต้องไม่ทำเฉยหรือหลบหนี ต้องไปศาลเพื่อพูดคุยกับโจทก์ จะขอชำระค่างวดที่ค้างชำระทั้งหมดหรือผ่อนชำระก็ได้ โจทก์เองก็ไม่อยากให้ผู้เช่าซื้อหรือจำเลยติดคุก ที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาก็เพื่อบีบบังคับให้ผู้เช่าซื้อเข้ามาเจรจาและชำระเงินค่าเช่าซื้อรถที่ค้างชำระเท่านั้น โดยปกติโจทก์จะให้ผ่อนชำระค่างวดรถที่ค้างชำระเดือนละเท่า ๆ กัน แต่ต้องชำระให้หมดภายใน 24 เดือน
ในกรณีผู้เช่าซื้อค้างค่างวดรถ ผู้ให้เช่าซื้อจะตามมาทวงค่างวดรถยังภูมิลำเนาของผู้เช่าซื้อและหากเห็นว่ารถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ และผู้เช่าซื้อไม่ยอมชำระค่างวดรถที่ค้างชำระ ผู้ให้เช่าซื้อก็จะฟ้องเป็นคดีแพ่ง ผู้เช่าซื้อจะตกเป็นจำเลยจะอยู่เฉย ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย และไม่ไปศาล ก็ย่อมทำได้ แต่เมื่อมีคำพิพากษาที่สุดแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นโจทก์ก็จะสืบทรัพย์ของจำเลยและบังคับคดีขายทอดตลาดเอง ถึงตอนนี้จำเลยที่มีที่ดินเป็น นส3.ก หรือโฉนดที่ดิน ก็จะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว